วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน หลังจากนัดแนะกันเสร็จสรรพกับสมาชิกที่กระหายอยาก"ในรอยเท้า" ฉันได้แต่เฝ้ารอเพื่อจะได้เจอหน้าเพื่อนเก่าเหล่านั้น บุคคลผู้มีจิตศรัทธาในตัวเอง และปรารถนาในเส้นทางที่ฉันชี้ให้ดู....

ริมระเบียงแคบๆหน้าห้อง บ่ายวันนั้นฉันยังนั่งคิดอะไรอยู่เรื่อยเปื่อย ในต้นฤดูหนาวที่มีแต่ความอบอ้าวของยามบ่าย มันเหมือนการกลับมาเกิดใหม่ของฤดูร้อน มองดูกิ่งกระถินหน้าห้องโยกไปโยนมาเหมือนพยายามส่งภาษาว่าตรูก็จะทนไม่ไหว รอให้ถึงเย็นค่อยว่ากัน เรื่องของเสื้อผ้ากับกระเป๋าเดินทาง...
บ้านพักหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางไร่ ถนนที่ตัดเข้าไปเป็นถนนแคบๆ พอแค่รถผ่านได้ทีละคัน แต่นั่นก็มากพอสำหรับวันที่มีแค่รถของพวกเรา ถนนบนเขาค้อบางครั้งเป็นทางชันดิ่งลงแล้วเหินขึ้นดูเหมือนกับกำลังขับรถลงไปในหลุมขนาดใหญ่แล้วต้องขับขึ้นปากหลุมครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดพวกเราก็มาถึงไร่แห่งนี้จนได้ "ไร่ภูเพชรรีสอร์ท" รีสอร์ทท่ามกลางขุนเขา บรรยากาศดี เงียบเชียบ และอย่างเป็นกันเอง...
บ่ายเมื่อวานระหว่างที่นั่งตกปลาอยู่ฝายหลังรีสอร์ท ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาทำให้บรรยากาศที่เย็นสบายอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นหนาวในทันที โชคดีว่าพวกเราหลบทันจึงไม่เปียกและไม่ต้องทรมานหนาวกลางสายฝน มื้อเย็นของเมื่อคืนคือหอยแครงแกล้มเหล้า กับเรื่องราวสัพเพเหระที่ผุดขึ้นมาได้เรื่อยๆไม่มีจบ จนดึกดื่นค่อนคืนเมื่อความรู้สึกตัวเริ่มสูญเสียก็ถึงแก่เวลาที่แต่ละคนจะประคองสติตัวเองกลับไปนอน หมอกยังไหลขึ้นมาไม่ขาดสายจนรอบๆตัวมองดูเลือนลาง เช้านี้ก็เช่นกัน สายหมอกทำให้ทุกอย่างดูเป็นสีเทา...
เช้าที่หมอกปกคลุมหนาเตอะ ออบหลวงดูจะเป็นคนที่ตื่นเต้นกว่าคนอื่น ฉันงัวเงียตื่นขึ้นเพราะเสียงเรียก อากาศตอนเช้าหนาวเหน็บ ใต้ผ้าห่มคือที่ๆเหมาะที่สุดในการหลับใหล ฉันเดินออกมาตามเสียงเรียก ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าจะทั้งน่าขยะแขยงและน่าสรรเสริญในคราวเดียวกัน ออบหลวงกำลังยืนเปลือยท่อนบนอยู่ในกลุ่มหมอก ท้าลมหนาวอย่างไม่สะทกสะท้าน....
ไร่ภูเพชรเป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ใกล้กับทุ่งแสลงหลวง ทางเข้าของไร่กับทุ่งอยู่ตรงข้ามกันเีพียงแค่ถนนกั้น พวกเราวางแผนกันไว้ว่า ตอนเช้าจะเดินทางไปสัมผัสไอหมอกแต่เช้า เช้าที่หมอกลงหนักอย่างนี้ ลุงผู้ดูแลรีสอร์ทแกคงยังนอนอุดอู้อยู่บนที่นอนอุ่นๆ โดยไม่ได้แยแสว่าพวกเราจะไปทำอะไรที่ไหน เพราะในวงเมื่อคืนแกกับพวกเราต่างก็เมากันแทบฟุบ ถ้าไม่เพราะออบหลวงบ้าพลังปลุกขึ้นมา ฉันคงได้นอนฝันหวานใต้ผ้าห่มอุ่นๆเหมือนลุงแก...
ฉันฝืนใจอาบน้ำเย็นเฉียบของไร่เพราะเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นไม่เป็น แต่ก็ดีเหมือนกันที่น้ำเย็นดูเหมือนจะคืนสติสัมปชัญญะได้ดีทีเดียว ฉันแต่งตัวแบบลวกๆ เพราะไม่อยากเสียเวลามาก เพื่อจะใช้ชีวิตในทุ่งได้นานๆ เมื่อทุกคนพร้อมกันแล้วเราก็บ่ายหน้าเข้าไปตามถนนในทุ่งแสลงหลวงที่อยู่อีกฟากถนน...
ทุ่งหญ้าสะวันนากำลังออกดอกชูช่อสูงท่วมหัว พวกเราขับรถลัดเลาะไปตามทางดินที่ตัดผ่านทุ่ง จากทุ่งแสลงหลวงที่อยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยาน ผ่านทุ่งนาของ ผกค.เมื่อหลายสิบปีก่อน ต่อมาถนนก็พาเราวกสูงขึ้นไปสู่เนินสนซึ่งเป็นทางดินค่อนข้างชัน แล้วพาเราหายเข้าไปในป่าซึ่งมีแต่ต้นสนขนาดใหญ่ขนาบอยู่ทั้งสองข้างทาง ซึ่งเส้นทางนั้นพาเรามุ่งหน้าไปสู่ทุ่งนางพญาเมืองเลน
ท้องฟ้ายามเช้าดูสดชื่นผิดหูผิดตา หมอกยังไหลเอื่อยๆคลอต้นไม้ใบหญ้า ฉันมองไปรอบๆแล้วรู้สึกง่วงบอกไม่ถูก อยากนอนต่ออีกซักตื่นคงจะดี...
ออบหลวงดูจะพอใจกับสิ่งที่เห็นรอบๆตัวอยู่ไม่น้อย ฉันมองดูเขายกกระป๋องเบียร์ที่ถือในมือซดอึกๆลงไปในลำคออย่างรวดเร็ว ทำเอาฉันน้ำลายสอตามๆกัน...
เมื่อเวลามีไม่มากอย่างที่อยากให้เป็น ฉันอดตาหลับขับตานอนมายืนถ่ายรูปใกล้ๆกับรถ เผื่อไว้เวลาไม่ไหวจะได้หายไปงีบต่ออีกซักตื่น...
เห็นป้อค้ากับออบหลวงเดินหายเข้าไปในป่าสน มันทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นไปตามกัน ชั่งใจอยู่ไม่นานฉันก็ตัดใจจากความหลับ แล้วเดินตามหลังคนอื่นหายเข้าไปในนั้นอีกคน...
หญ้าต้นเล็กๆขึ้นแซมไปทั่วตามโคนสน ถึงกระนั้นหญ้าพวกนี้ก็ดูสูงเทียมหัวเลยทีเดียว...
ป้อค้าคงชักสนุกขึ้นมา หยิบกล้องตัวโปรดของฉันมากดชัตเตอร์ ฉับๆๆ ฉันได้แต่ยืนหอบกับระยะทางที่เดินมา ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่า นี่ฉันกำลังง่วงขนาดหนักหรือกำลังเหนื่อยใจจะขาด....
มองเห็นทิวของยอดสนเรียงรายเป็นแนว เสียงลมข้างบนไกวกิ่งสนดังหวือๆ ชวนให้ร่างกายที่กำลังเพลียอยากหลับสบายอยู่ตรงนั้นให้ชื่นใจ...














ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น